บทความล่าสุด

  • AI Search เทคโนโลยีที่นักธุรกิจไทยต้องรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
    AI Search เทคโนโลยีที่นักธุรกิจไทยต้องรู้ก่อนที่จะสายเกินไป AI Search ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มาเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นหาข้อมูล เรียนรู้และก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆไปกับ YellowPages สำหรับผู้ประกอบการไทยในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฉบับนี้ทีมงานและน้องเยลลี่อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “AI Search” ที่ไม่ใช่แค่คำใหม่เท่านั้น แต่มันกำลังจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจในไทยอย่างมากเลยทีเดียว AI Search คืออะไร? AI Search หรือการค้นหาด้วยปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ระบบ AI ในการประมวลผลและตอบสนองการค้นหาของผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น คิดภาพว่าเวลาที่เราค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ระบบจะไม่ใช่แค่ดึงข้อมูลที่ตรงกับคำค้นหามาแสดง แต่ยังสามารถเข้าใจความต้องการและบริบทของผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราเป็นร้านค้าออนไลน์ที่ขายเสื้อผ้า AI Search จะช่วยนำเสนอสินค้าที่ตรงกับรสนิยมและความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้ดีกว่าเดิมมากๆ ตัวอย่าง AI Search ที่ใช้ได้จริง 1. Google Search with AI: Google ได้เริ่มต้นนำ AI มาช่วยในการค้นหาให้ผู้ใช้งานสามารถค้นพบข้อมูลที่ตรงกับความต้องการได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหาคำว่า “ร้านกาแฟที่ดีที่สุดใกล้ฉัน” AI จะช่วยประมวลผลข้อมูลจากสถานที่ที่ใกล้ที่สุดพร้อมทั้งคัดกรองรีวิวที่มีคุณภาพที่สุดเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานในทันที 2. Online Platform's Product Recommendations: หากคุณเคยสังเกตเวลาที่คุณซื้อสินค้าบนออนไลน์แพลตฟอร์ม คุณจะเห็นว่ามีการแนะนำสินค้าที่คล้ายคลึงหรือสินค้าเสริมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการประมวลผลโดย AI Search ที่สามารถคาดเดาสินค้าที่คุณอาจจะสนใจจากข้อมูลการค้นหาและการซื้อที่ผ่านมาของคุณ 3. Chatbots with AI Search: ในหลายธุรกิจ AI Search ถูกนำไปใช้ในแชทบอทที่สามารถตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตัวอย่างเช่น หากคุณเข้าไปสอบถามข้อมูลในเว็บไซต์สายการบินเกี่ยวกับเที่ยวบิน ระบบแชทบอทจะสามารถตอบคำถามและแนะนำเที่ยวบินที่ตรงกับความต้องการของคุณได้ทันที ผลกระทบต่อการทำเว็บไซต์และ SEO
  • Google Spam Updates ครั้งนี้ส่งผลอย่างไรต่อการจัดอันดับ SEO
    Google Spam Updates ครั้งนี้ส่งผลอย่างไรต่อการจัดอันดับ SEO เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางบริษัท Google ได้มีการอัปเดตในส่วนของการตรวจจับสแปมเพื่อให้ผู้ใช้แพลตฟอร์ม Google มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์การค้นหาบน Google นั้นจะไม่เต็มไปด้วยสแปมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จากการค้นหา หลายครั้งที่ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มได้คลิกเข้าไปเจอสแปม ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้มีประสบการณ์การค้นหาที่ไม่ดีและอาจส่งผลให้ผู้ใช้หลายคนตัดสินใจที่จะเลิกใช้แพลตฟอร์มไปในที่สุด   YellowPages ในฐานะเพื่อนของธุรกิจก็ได้ไปรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบจากการอัปเดตในครั้งนี้มาให้คุณผู้อ่านได้ติดตามอ่านกันบนเว็บไซต์www.yellowpages.com     มาดูกันว่าหลังจากการอัปเดตของ Google ในครั้งนี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างและมีแนวโน้มจะส่งผลต่อธุรกิจของเราอย่างไร     จุดประสงค์หลักในการอัปเดตครั้งนี้ของ Google ก็เพื่อที่จะลดปริมาณผลการค้นหาที่เป็นสแปมลง โดยทางบริษัทยังได้มีการอัปเดตการตรวจจับสแปมออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ทางเว็บไซต์ต่างประเทศได้มีการทดสอบและออกมาเปิดเผยถึงหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบจากการอัปเดตในครั้งนี้ โดยเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เว็บไซต์ข่าว และ เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับกีฬา ตามมาด้วยเว็บไซต์เกี่ยวกับศิลปะความบันเทิง เทคโนโลยี และเว็บไซต์กระดานสนทนา     <img alt="SERP-Volatility-Industries-most-affected-by-the-Google-spam-update" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" height="1120" src="/sites/storage/files/content/2022/11/google-spam-updates/SERP-Volatility-Industries-most-affected-by-the-Google-spam-update.png" title="SERP-Volatility-Industries-most-affected-by-the-Google-spam-update" width="1402" />   Credit : https://neilpatel.com/blog/googles-spam-update/  
  • ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO สำหรับธุรกิจ B2B และ B2C
    ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO สำหรับธุรกิจ B2B และ B2C ถ้าหากแบ่งธุรกิจในปัจจุบันตามกลุ่มลูกค้าที่พบได้โดยทั่วไป ก็จะสามารถแบ่งได้สองแบบ นั้นคือธุรกิจ B2C หรือ Business to Customer และธุรกิจ B2B หรือ Business to Business โดยที่ทั้งสองแบบ มีความแตกต่างกันดังนี้           ธุรกิจ B2C หรือ Business to Customer คือธุรกิจที่ค้าขายกันระหว่างผู้ประกอบการ กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายต้นไม้ ขายของใช้ในครัวเรือน เป็นต้น           สำหรับธุรกิจ B2B หรือ Business to Business คือธุรกิจที่ค้าขายกันระหว่างผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการด้วยกันเอง ยกตัวอย่างเช่น การค้าขายระหว่างโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์กับร้านขายเฟอร์นิเจอร์, การค้าระหว่างร้านขายส่งกระถางต้นไม้ กับร้านขายปลีกต้นไม้ เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจแบบ B2B จะมีความซับซ้อนมากกว่าธุรกิจแบบ B2C เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจ B2B จำเป็นจะต้องทำการค้นคว้าข้อมูล และวางแผนระยะยาว ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า เพราะการซื้อสินค้าครั้งหนึ่ง จะเป็นการซื้อในปริมาณมาก ดังนั้นแล้วหากสินค้าที่ซื้อมีคุณภาพไม่ดี หรือมีปัญหาระหว่างการซื้อ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก           จะเห็นว่าธุรกิจทั้งสองรูปแบบจะมีความซับซ้อนและกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ลูกค้าของกลุ่มธุรกิจ B2B ก็จะเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยกันเอง ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2C ก็จะเป็นผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป ดังนั้นแล้วการทำ SEO สำหรับธุรกิจทั้งสองประเภทนี้ ก็จะมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป ในบทความนี้เราจะพามาดูความแตกต่างในการทำ SEO ทั้ง 4 ด้านด้วยกัน คือ ความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมาย การเลือกใช้คีย์เวิร์ด รูปแบบของเนื้อหา และการใช้โซเชียลมีเดีย   <img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/SEO/content-traget.png" title="content-traget" width="1200" />  

บทความทั้งหมด

AI Search ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มาเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นหาข้อมูล…
admin
วันที่ : 13 กันยายน 2024
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางบริษัท Google…
SEO
admin
วันที่ : 13 กันยายน 2024
ถ้าหากแบ่งธุรกิจในปัจจุบันตามกลุ่มลูกค้าที่พบได้โดยทั่วไป ก็จะสามารถแบ่งได้สองแบบ นั้นคือธุรกิจ…
admin
วันที่ : 13 กันยายน 2024